5 ประเภทสว่านยอดฮิตที่ช่างระดับมืออาชีพต้องมี

สว่าน (Drill)  คือ เครื่องมือไฟฟ้าชนิดหนึ่งใช้สำหรับเจาะรูบนวัสดุหลายประเภท เป็นเครื่องมือที่ใช้บ่อยในงานไม้และงานโลหะ บางรุ่นสามารถเจาะปูน เจาะผนังได้อีกด้วย และควรมีติดบ้านไว้เพื่อความสะดวกสบายในการต่อเติมซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน หลายคนคงสงสัยแล้วว่าสว่านมีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับงานเจาะชนิดไหนบ้าง  ซึ่งทั้งหมดถูกรวบรวมมาไว้ในบทความนี้แล้วครับ สำหรับสว่านนั้นที่เราอาจจะต้องใช้กันนั้น มีอยู่ประมาณ 5 ประเภท แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติต่าง ๆ กันแล้วแต่ว่าเราจะนำไปใช้ในงานแบบไหนลักษณะใด มาเริ่มจากชนิดแรกเลย

1.สว่านไฟฟ้า เป็นสว่านที่มีระบบเดียว มีกำลังวัตต์ประมาณ 300 – 500 วัตต์ มีน้ำหนักเบา ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า มีสายไฟอยู่ตรงด้านล่างของที่จับ ส่วนปลายมีลักษณะเป็นปากใช้สำหรับยึดดอกสว่าน ส่วนดอกสว่านสามารถเปลี่ยนขนาดได้ตามลักษณะงานที่ต้องการ สว่านไฟฟ้าถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับงานเจาะรูบนวัสดุปลายประเภท เช่น งานไม้ งานเหล็ก งานพลาสติก หรือพลาสติกที่ไม่หนามาก ข้อดีคือมีสาย จึงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

2.สว่านไขขวงไฟฟ้า มีกำลังไม่สูงมากนัก ตัวเครื่องไร้สายใช้ไฟจากแบตเตอรี่ที่อยู่ในเครื่อง ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา หน้าที่หลักคือการไขสกรู แรงบิดที่ได้จากหัวสว่านและดอกสว่านสามารถปรับทิศทางหมุนซ้าย – ขวา ได้ ทำให้ไขเข้าออกได้ง่ายกว่าไขควงทั่วไป สว่านไขควงไฟฟ้าจึงเหมาะสำหรับใช้ในครัวเรือนและงานซ่อมบำรุงทั่วไป เช่น งานตกแต่ง งานประกอบเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

3.สว่านไร้สาย เป็นสว่านที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการจ่ายไฟ ซึ่งเหมาะกับงานนอกบ้าน ข้อดีของสว่านไร้สายคือไม่ต้องมีสายมาเกะกะและไม่ต้องหาปลั๊กไฟต่อให้ยุ่งยาก ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย เหมาะกับงานเจาะไม้ ขันน๊อต แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง เพราะต้องคอยชาร์จหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่นั่นเอง

4.สว่านโรตารี่ เป็นสว่านที่ออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานเจาะคอนกรีตโดยเฉพาะ มีกำลังวัตต์ 650 วัตต์ขึ้นไป แบ่งออกเป็นแบบ 2 ระบบ คือระบบเจาะและระบบกระแทก กับแบบ 3 ระบบ มีทั้งระบบเจาะ , ระบบกระแทก และระบบสกัด เพื่อช่วยสกัดหน้าปูนเพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นการสร้างแรงกระแทกที่สูงมาก ทำให้เจาะปูน หรือสกัดทำลายปูนได้ง่ายขึ้น

5.สว่านกระแทก มีลักษณะคล้ายสว่านไฟฟ้า แต่มีกำลังวัตต์สูงกว่าประมาณ 550 – 720 วัตต์ เป็นสว่าน 2 ระบบ ระบบเจาะและระบบกระแทกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเจาะวัสดุได้หลากหลายประเภทมากขึ้น ที่นอกเหนือจากไม้และเหล็ก โดยเฉพาะงานเจาะคอนกรีต หิน อิฐ และผนังปูนต่าง ๆ โดยจะมีแรงดันไฟฟ้า ความเร็วรอบ และแรงกระแทกที่สูงกว่า